วันศุกร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2561

บทที่2 องค์กร การจัดการ การตัดสินใจ

       องค์กร (Organization) หมายถึงกลุ่มคนที่รวมตัวกันเพื่อดำเนินการในกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งให้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ในการรวมตัวจะต้องมีการจัดระเบียบการติดต่อ การแบ่งงานกันทำและต้องมีการประสานประโยชน์ของแต่ละบุคคลด้วย
       ความหมายขององค์กรในลักษณะเป็นหน่วยงาน เพื่อประกอบกิจกรรม องค์กรในลักษณะนี้หมายถึงการรวมตัวของบุคคลจำนวนตั้งแต่ คนขึ้นไป มาช่วยทำกิจกรรม โดยมีวัตถุประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่งที่แน่นอน มีสถานที่ทำงานเป็นหน่วยงาน มีวัสดุอุปกรณ์เครื่องมือและทรัพยากรต่าง ๆ เพื่อใช้ในการปฏิบัติงาน มีการจัดระบบความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่มาร่วมปฏิบัติงาน
       ความหมายขององค์กรในลักษณะเป็นโครงสร้างของสังคม เพราะองค์กรเป็นศูนย์รวมของกิจการที่ประกอบขึ้นเป็นหน่วยงานเดียวกัน เมื่อหน่วยงานหลาย ๆ หน่วยงานรวมกันขึ้นจะมีลักษณะเป็นสังคม มี  การประสานกิจกรรมของกลุ่มบุคคลที่มีเป้าหมายร่วมกันให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามที่ต้องการ
       องค์กร แบ่งออกเป็น ประเภท คือ องค์กรของรัฐ องค์กรธุรกิจ องค์กรรัฐวิสาหกิจ และองค์กรอาสาสมัคร
                1. องค์กรภาครัฐ องค์กรภาครัฐเป็นองค์กรที่มีวัตถุประสงค์เพื่อการให้บริการแก่ประชาชน โดยไม่หวังผลตอบแทนเชิงเศรษฐกิจ ตัวอย่างองค์กรภาครัฐ ได้แก่ กระทรวง ทบวง กรมต่าง ๆ เช่น กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา การพัฒนาฝีมือแรงงาน เป็นต้น
                2. องค์กรธุรกิจ องค์กรธุรกิจเป็นองค์กรที่จัดทำขึ้นเพื่อดำเนินกิจกรรมทางการค้าและทางธุรกิจ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหากำไร เช่น บริษัทห้างร้านต่าง ๆ ได้แก่ ธนาคาร ห้างสรรพสินค้า ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด เป็นต้น
                3. องค์กรรัฐวิสาหกิจ เป็นองค์กรที่รัฐเป็นเจ้าของและมีวัตถุประสงค์ในการดำเนินการเชิงการค้าที่ไม่หวังผลกำไร เช่น องค์กรขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การรถไฟแห่งประเทศไทย เป็นต้น
                4. องค์กรอาสาสมัคร เป็นองค์กรของเอกชนที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างสรรค์สังคมช่วยเหลือบรรเทาสาธารณภัย เช่น มูลนิธิร่วมกตัญญู มูลนิธิสายใจไทย เป็นต้น

องค์กรมีองค์ประกอบที่สำคัญ  ดังต่อไปนี้
        1.  วัตถุประสงค์ (objective) หรือจุดมุ่งหมายในการก่อตั้งองค์กร  เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติกิจกรรมหรือผลผลิตขององค์กร
        2.  โครงสร้าง (stracture) องค์การจะต้องมีโครงสร้าง   โดยมีการจัดแบ่งหน่วยงานภายในตามหลักความชำนาญเฉพาะ  มีการกำหนดอำนาจหน้าที่และความสัมพันธ์ระหว่างภายในองค์การ
       3.  กระบวนการปฏิบัติงาน (process)  หมายถึง  แบบอย่างวิธีปฏิบัติที่เป็นแบบแผนคงที่แน่นอน  เพ่อให้ทุกคนในองค์การต้องยึดถือเป็นหลักในการปฏิบัติงาน
        4.  บุคคล (person) องค์การจะต้องมีความเกี่ยวข้องกับบุคคลทั้งในลักษณะกลุ่มคนที่เป็นสมาชิกภายในองค์การ  ซึ่งต้องปฏิบัติหน้าที่ตามภารกิจที่ได้รับมอบหมาย  และยังต้องเกี่ยวข้องกับบุคคลภายนอกองค์การ  ซึ่งได้แก่  ผู้รับบริการและผู้ให้การสนับสนุน

_____________________________________________________________________________________________

       การจัดการ (Management) หมายถึงการบริหารอย่างเป็นระบบ ประกอบด้วยกิจกรรมของกลุ่มบุคคลที่ร่วมมือกันดำเนินงานเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้โดยใช้กระบวนการและทรัพยากรอย่างเหมาะสมและเกิดประโยชน์สูงสุด
      การจัดการเป็นศาสตร์และศิลปะซึ่งกระบวนการจัดการประกอบด้วย การวางแผน (Planning),การจัดองค์การ (Organizing), การสั่งการหรืออำนวยการ (Leading/Directing) และการควบคุม (Controlling) โดยการจัดการที่มีประสิทธิภาพนั้น ผู้บริหารจะต้องสามารถนำเอาความรู้ ความเข้าใจในศาสตร์ด้านการบริหารมาประยุกต์ใช้ให้เหาะสมกับการทำงาน สถานการณ์ และสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่มีการแข่งขันสูง ผู้บริหารจะต้องรู้จักเลือกและวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อให้ได้สารสนเทศในรูปแบบที่ง่ายต่อความเข้าใจและเป็นประโยชน์ต่อการบริหารและการตัดสินใจ         

       การจัดการภายในองค์การ  โดยทั่วไปแบ่งออกเป็น 3 ระดับ การจัดการระดับสูง ( Upper  lever management )  การจัดการระดับกลาง (Middle-level Management)  การจัดการระดับต้น (Lower-level Management)ซึ่งผู้บริหารแต่ละระดับมีหน้าที่และความรับผิดชอบที่ต่างกัน
ระดับการจัดการ  
1การจัดการระดับสูง (Upper-level Management)
  ผู้บริหารระดับสูงเป็นผู้กำหนดวิสัยทัศน์ นโยบาย เป้าหมาย วัตถุประสงค์ รวมถึงวางแผนกลยุทธ์และแผนระยะยาวขององค์การ จึงมีความต้องการสารสนเทศที่มีขอบเขตกว้างและสารสนเทศเกี่ยวกับแนวโน้มต่าง ๆ จากทั้งภายในองค์การและสิ่งแวดล้อมภายนอก
2.การจัดการระดับกลาง (Middle-level Management)
  ผู้บริหารระดับกลางมีหน้าที่วางแผนยุทธวิธี (Tactical Planning) และประสานงานระหว่างผู้บริหารระดับสูงและผู้บริหารงานระดับต้นหรือหัวหน้างานเพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างราบรื่นและสามารถปฏิบัติงานตามนโยบายหรือแผนงานที่กำหนดโดยผู้บริหารระดับสูง
3.การจัดการระดับต้น (Lower-level Management)
  ผู้บริหารงานระดับต้นหรือหัวหน้างานมีหน้าที่ควบคุม ดูแลการปฏิบัติงานประจำวัน (Operational Control) ซึ่งขั้นตอนการทำงานมีรูปแบบที่แน่นอนและทำงานใกล้ชิดกับผู้ปฏิบัติงาน เพื่อให้การทำงานเป็นไปตามแผนที่กำหนดโดยผู้บริหารระดับกลาง การจัดการในระดับนี้ต้องอาศัยข้อมูลจากการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียดนำมาวิเคราะห์เพื่อสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในการปฏิบัติงานและควบคุมให้สามารถดำเนินงานตามแผนระยะสั้นที่วางไว้
_____________________________________________________________________________________________

การตัดสินใจ (Decision Making)
กระบวนการตัดสินใจประกอบด้วย 4 ขั้นตอน คือ
1.การใช้ความคิดประกอบเหตุผล (Intelligence)   เป็นขั้นตอนที่รับรู้และตระหนักถึงปัญหาหรือโอกาสที่เกิดขึ้น ทำการรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับปัญหา นำข้อมูลมาวิเคราะห์และตรวจสอบเพื่อแยกแยะและกำหนดรายละเอียดของปัญหาหรือโอกา
2.การออกแบบ (Design)   เป็นขั้นตอนของการพัฒนาและวิเคราะห์ทางเลือกในการปฏิบัติที่เป็นไปได้ รวมถึงการตรวจสอบและประเมินทางเลือกในการแก้ปัญหา ซึ่งอาจใช้ตัวแบบเพื่อสร้างทางเลือกต่าง ๆ ในการแก้ปัญหา หรือออกแบบหนทางแก้ปัญหาที่ดีที่สุด
3.การคัดเลือก (Choice)   ผู้ตัดสินใจจะเลือกแนวทางเลือกที่เมาะสมกับปัญหาและสถานการณ์มากที่สุด โดยอาจใช้เครื่องมือมาช่วยวิเคราะห์ คำนวณค่าใช้จ่ายและผลตอบแทนของแต่ละแนวทางเพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าได้เลือกแนวทางที่ดีที่สุด
4.การนำไปใช้ (Implementation)  เป็นขั้นตอนที่นำผลการตัดสินใจไปปฏิบัติและคิดตามผลของการปฏิบัติเพื่อตรวจสอบว่าการดำเนินงานมีประสิทธิภาพหรือมีข้อขัดข้องประการใด จะต้องแก้ไข้หรือปรับปรุงให้สอดคล้องและเหมาะสมกับสถานการณ์อย่างไร
 ระดับของการตัดสินใจภายในองค์การ 
การตัดสินใจสามารถถูกจำแนกให้สอดคล้องกับระดับของการจัดการออกเป็น 3 ระดับ คือ
1.การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ (Strategic Decision Making)  การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์เป็นการตัดสินใจของผู้บริหารระดับสูง ที่ให้ความสนใจในอนาคต เช่น การกำหนดวิสัยทัศน์ขององค์การ การกำหนดนโยบายและการวางแผนระยะยาว เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนด โดยทั่วไปสิ่งแวดล้อมในการตัดสินใจของผู้บริหารระดับสูงจะมีการเปลี่ยนแปลงหรือมีความไม่แน่นอน และไม่สามารถกำหนดขั้นตอนการตัดสินใจที่ชัดเจนไว้ล่วงหน้าได
2.การตัดสินใจเชิงยุทธวิธี (Tactical Decision Making) การตัดสินใจเชิงยุทธวิธีเป็นการตัดสินใจของผู้บริหารระดับกลาง ซึ่งจะเกี่ยวกับการจัดการเพื่อให้การดำเนินงานบรรลุตามเป้าหมายและวัตถุประสงค์ตามที่ผู้บริหารระดับสูงกำหนดไว้ การตัดสินในระดับนี้จะเกี่ยวข้องกับปัญหาในลักษณะแบบกึ่งโครงสร้าง เช่น กาจัดสรรทรัพยากรที่จำเป็นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ขององค์การ การจัดสรรงบประมาณ การกำหนดการผลิต การกำหนดยุทธวิธีทางการตลาด การวางแผนงบประมาณระยะกลาง และการทำโครงการต่าง ๆ เพื่อให้สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้
3.การตัดสินใจเชิงปฏิบัติการ (Operational Decision Making)  การตัดสินใจเชิงปฏิบัติการเป็นการตัดสินใจของผู้บริหารระดับปฏิบัติการหรือหัวหน้างานซึ่งเกี่ยวข้องกับงานประจำหรือการปฏิบัติงานเฉพาะด้านต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นกิจวัตรเพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าสามารถปฏิบัติงานเหล่านั้นได้ตามแผนที่วางไว้อย่างสำเร็จและมีประสิทธิภาพ เช่น การตัดสินใจในกระบวนการสั่งซื้อการควบคุมสินค้าคงคลัง การตัดสินใจในระดับนี้เป็นการตัดสินใจเกี่ยวข้องกับปัญหาลักษณะแบบมีโครงสร้าง ซึ่งหลักเกณฑ์และวิธีการต่าง ๆ สามารถกำหนดไว้ล่วงหน้าและทำการตัดสินใจได้โดยอัตโนมัติเนื่องจากจะเป็นปัญหาในเรื่องที่ซ้ำ ๆ กัน ตัวอย่างของการตัดสินใจ เช่น การกำหนดเวลาสั่งสินค้าคงคลังจำนวนวัตถุดิบที่จะสั่งซื้อแต่ละครั้ง การวางแผนเบิกจ่ายวัสดุ และการมอบหมายงานให้พนักงานเป็นรายบุคคล



วันพฤหัสบดีที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2561

บทที่3 โครงสร้างพื้นฐานของระบบสารสนเทศ



โครงสร้างพื้นฐานคืออะไร ?

  • โครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีประกอบด้วยชุดอุปกรณ์ทางกายภาพและแอพพลิเคชันซอฟต์แวร์ที่ต้องใช้งานทั้งองค์กร แต่โครงสร้างพื้นฐานด้านไอทียังเป็นชุดของการให้บริการที่ครอบคลุมโดยฝ่ายบริหารและประกอบด้วยความสามารถของมนุษย์และด้านเทคนิค เหล่านี้บริการดังต่อไปนี้:
  • แพลตฟอร์มคอมพิวเตอร์ที่ใช้เพื่อให้คอมพิวเตอร์บริการที่เชื่อมต่อกับพนักงานลูกค้า และซัพพลายเออร์ในสภาพแวดล้อมแบบดิจิตอลที่สอดคล้องกันรวมถึงเมนเฟรมขนาดใหญ่คอมพิวเตอร์ midrange เดสก์ท็อปและคอมพิวเตอร์แล็ปท็อป และโทรศัพท์มือถือ และบริการคอมพิวเตอร์คลาวด์
  • บริการซอฟต์แวร์แอพพลิเคชัน รวมถึงบริการซอฟต์แวร์ออนไลน์ที่ให้ความสามารถในระดับองค์กรเช่นการวางแผนทรัพยากรองค์กร ความสัมพันธ์กับลูกค้า การจัดการ การจัดการห่วงโซ่อุปทานและความรู้ระบบการจัดการที่ทุกธุรกิจใช้ร่วมกันทุกหน่วย
  • บริการโทรคมนาคมที่ให้บริการข้อมูล, เสียง,และการเชื่อมต่อวิดีโอกับพนักงาน ลูกค้าและซัพพลายเออร์
  • บริการจัดการข้อมูลที่เก็บและจัดการข้อมูลขององค์กร และให้ความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูล


  • บริษัท มีความสามารถในการให้บริการแก่ลูกค้า,ซัพพลายเออร์ และพนักงาน เป็นหน้าที่โดยตรงของโครงสร้างด้านไอที โครงสร้างพื้นฐานนี้ควรสนับสนุนธุรกิจ และระบบสารสนเทศของบริษัท ใหม่ๆ เทคโนโลยีสารสนเทศมีผลกระทบอย่างมากต่อธุรกิจและกลยุทธ์ด้านไอทีตลอดจนบริการที่สามารถให้ได้ให้กับลูกค้า
วิวัฒนาการของโครงสร้างพื้นฐานด้านไอที


แบ่งเป็น 5ยุค
  • เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ทั่วไปและยุคมิคคอมพิวเตอร์:(1959 ถึงปัจจุบัน) 
  • คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล:(1981 ถึงปัจจุบัน) 
  • ไคลเอ็นต์ / เซิร์ฟเวอร์ (1983 ถึงปัจจุบัน) 
  • คอมพิวเตอร์ขององค์กร (1992 ถึงปัจจุบัน) 
  • ระบบคลาวด์และคอมพิวเตอร์เคลื่อนที่ (2000 ถึงปัจจุบัน)

โปรแกรมควบคุมเทคโนโลยีของวิวัฒนาการของโครงสร้างพื้นฐาน

  • การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีที่เราได้อธิบายไว้ เป็นผลมาจากการพัฒนาคอมพิวเตอร์ การประมวลผล, ชิปหน่วยความจำ, อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล, โทรคมนาคมและฮาร์ดแวร์ระบบเครือข่ายและ ซอฟต์แวร์และการออกแบบซอฟต์แวร์ที่มีจำนวนเชิงซ้อน เพิ่มพลังการประมวลผลในขณะที่ลดจำนวนเชิงซ้อน ค่าใช้จ่าย ลองดูที่การพัฒนาที่สำคัญที่สุด


เทคโนโลยีควบคุมในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐานด้านไอที
  • ไดรเวอร์เทคโนโลยีของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีคือ:
  • 1. กฎหมายของมัวร์และกำลังประมวลผลของไมโครโพรเซสเซอร์
  • มัวร์ลดอัตราการเติบโตลงเป็นสองเท่าทุกสองปี
  • กฎหมายฉบับนี้จะถูกตีความในหลาย ๆ ด้านกฎของมัวร์มีอย่างน้อยสามรูปแบบไม่มีซึ่งมัวร์เคยกล่าวไว้ว่า:
  • (1) พลังของไมโครโปรเซสเซอร์เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าทุกๆ 18เดือน
  • (2) กำลังประมวลผลเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าทุก 18 เดือน
  • (3) ราคาของคอมพิวเตอร์ลดลงครึ่งหนึ่งทุก 18 เดือน
  • 2. กฎหมายว่าด้วยพื้นที่เก็บข้อมูลดิจิตอลมวลชน
  • จำนวนข้อมูลดิจิทัลเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าทุกปี. โชคดีที่ค่าจัดเก็บข้อมูลดิจิตอลข้อมูลจะลดลงด้วยอัตราการแทนเป็น ร้อยละ 100 ต่อปี
  • ค่าจัดเก็บข้อมูลดิจิตอลลดลงที่ อัตราร้อยละ 100 ต่อปี
  • 3. กฎของ Metcalfe และเครือข่ายเศรษฐศาสตร์
  • Robert Metcalfe ผู้ประดิษฐ์เครือข่ายอีเธอร์เน็ตท้องถิ่นเทคโนโลยีอ้างว่าในปีพ. ศ. 2513 ว่าค่าหรือพลังของเครือข่ายเพิ่มขึ้นอย่างมากในรูปของเลขจำนวนเครือข่าย membe
  • จำนวนสมาชิกในเครือข่ายเพิ่มขึ้นเป็นเส้นตรงคุณค่าของระบบทั้งหมดเติบโตขึ้นอย่างมากและยังคงดำเนินต่อไปเติบโตเป็นสมาชิกเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
  • 4. ค่าใช้จ่ายในการติดต่อสื่อสารลดลงและอินเทอร์เน็ต
  • ลดลงอย่างรวดเร็วในค่าใช้จ่ายในการสื่อสารและการเติบโตแบบเลขแจงตามขนาดของอินเทอร์เน็ต เช่นต้นทุนการสื่อสารลดลงไปเป็นจำนวนน้อยมาก และวิธีการใช้ประโยชน์จากการสื่อสารและคอมพิวเตอร์
  • ลดลงอย่างรวดเร็วในค่าใช้จ่ายในการสื่อสารและการเติบโตแบบเลขแจงตามขนาดของอินเทอร์เน็ตค่าใช้จ่ายในการติดต่อสื่อสารลดลงอย่างมากอินเทอร์เน็ตและผ่านทางเครือข่ายโทรศัพท์
  • 5. มาตรฐานและผลกระทบทางเครือข่าย
  • มาตรฐานเทคโนโลยีเป็นข้อกำหนดที่กำหนดความเข้ากันได้ของผลิตภัณฑ์และความสามารถในการสื่อสารในเครือข่าย
  • มาตรฐานเทคโนโลยีเปิดตัวระบบเศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพและส่งผลให้ราคาลดลงเนื่องจากผู้ผลิตหันมาสนใจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่สร้างขึ้นเพื่อมาตรฐานเดียว
ส่วนประกอบของโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีคืออะไร?
โครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีในปัจจุบันประกอบด้วย 7 ส่วน
1. แพลตฟอร์มฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์
2. แพลตฟอร์มระบบปฏิบัติการ
3. แอ็พพลิเคชัน Enterprise SoftwareApplications
4. การจัดการข้อมูลและพื้นที่เก็บข้อมูล
5. แพลตฟอร์มเครือข่าย / โทรคมนาคม
6. แพลตฟอร์มอินเทอร์เน็ต
7. ให้คำปรึกษาและบริการการรวมระบบ






วันพุธที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2561

บทที่1 บทนำเกี่ยวกับระบบสารสนเทศเพื่อการจัดสารสมัยใหม่า

ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ ( Management Information System : MIS )
ความหมาย
ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ ( MIS)  หมายถึง ระบบที่รวบรวมและจัดเก็บข้อมูลจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ทั้งภายใน และภายนอกองค์การอย่างมีหลักเกณฑ์ เพื่อนำมาประมวลผลและจัดรูปแบบให้ได้สารสนเทศที่ช่วยสนับสนุนการทำงาน และการตัดสินใจในด้านต่าง ๆ ของผู้บริหาร
ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการจะประ กอบด้วยหน้าที่หลัก  2 ประการ คือ 
           1. สามารถเก็บรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ
           2. สามารถทำการประมวลผลข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ

หน้าที่หลักของระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ
ความสำคัญและผลกระทบของระบบสารสนเทศที่มีต่อธุรกิจ
  1. ระบบสารสนเทศช่วยสร้างคุณค่าเพิ่มให้กับการทำงาน
  2. บุคลากรทุกคนต้องมีความรู้เกี่ยวกับ MIS
  3. การประยุกต์เทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของธุรกิจและการบรรลุเป้าหมายขององค์กรมากขึ้น
การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมในการแข่งขันทางธุรกิจ
การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมในการแข่งขันทางธุรกิจมี  ประการ คือ 
  1. การรวมตัวของระบบเศรษฐกิจโลก  ก่อให้เกิดกระบวนการโลกาภิวัฒน์ของตลาด ที่เกิดการบูรณาการ ของทรัพยากรทางธุรกิจและการแข่งขันทั่วโลก       
  2. การปรับปรุงของระบบเศรษฐกิจอุตสาหกรรม มีการปรับให้เข้ากับเทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อตอบสนองความพึงพอใจของลูกค้า
ลักษณะและระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ
  1. ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการในการวางแผน นโยบาย กลยุทธ์  และการตัดสินใจของผู้บริหารระดับสูง ( Top  management )
  2. ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการในส่วนยุทธวิธีการวางแผนการปฎิบัติและการตัดสินใจผู้บริหารระดับกลาง (Middle management )
  3. ผู้บริหารระดับล่าง ( Bottom   management ) จะเป็นผู้ใช้สารสนเทศเพื่อช่วยในการปฏิบัติงาน เช่น  สารสนเทศในการผลิตของโรงงานอุตสาหกรรม
  4. ระบบสารสนเทศที่ได้จากการประมวลผลในขั้นตอนนี้พนักงานจะต้องมีการเก็บรวมรวมข้อมูลและป้อนข้อมูลสู่กระบวนการประมวลผลเพื่อให้ได้สารสนเทศออกมานำเสนอต่อผู้บริหาร
ระบบย่อยสารสนเทศเพื่อการจัดการ
  1. ระบบประมวลผลรายการ เป็นระบบที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานประจำขององค์กร  เช่น  การบันทึกรายการบัญชี  การบันทึกยอดขายต่อวัน  การบันทึก
  2. ระบบการจัดการรายการ ระบบนี้ช่วยในการจัดเตรียมรายการเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้เป็นการบันทึกข้อมูลอย่างวางในขั้นตอนระบบประมวลผลรายการ
  3. ระบบสนับสนุนการตัดสินใจทำหน้าที่ในการอำนวยความสะดวกในการจัดรูปแบบข้อมูล การนำข้อมูลใช้และรายงานข้อมูลเพื่อใช้ประโยชน์ในการตัดสินใจของผู้บริหารระดับต่างๆ
  4. ระบบสารสนเทศสำนักงานเป็นระบบสารสนเทศที่ใช้ในสำนักงานโดยอาศัยอุปกรณ์พื้นฐานทางคอมพิวเตอร์ เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องสแกนเนอร์ เครื่องโทรสาร  และโปรแกรมต่างๆ
คุณสมบัติของสารสนเทศเพื่อการจัดการ
  1. ความสามารถในการจัดการข้อมูล
  2. ความปลอดภัยของข้อมูล
  3. ความยืดหยุ่น
  4. ความพอใจของผู้ใช้

บุคคลกรที่เกี่ยวข้องกับระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ
  1. หัวหน้างานระดับต้น   มีหน้าที่รับผิดชอบในการปฏิบัติงานงานแบบวันต่อวัน ได้แก่ หัวหน้างาน   วางแผน และแก้ปัญหาประจำวัน
  2. ผู้จัดการระดับกลาง ทำหน้าที่ควบคุมและประสานงานระหว่างหัวหน้างานระดับปฎิบัติการและผู้บริหารระดับสูงมีการประสานงานทำให้หัวหน้างานระดับสูง
  3. ผู้บริหารระดับสูง เป็นกลุ่มบุคคลที่ทำการกำหนดวิสัยทัศน์  ทิศทาง และวางนโยบาย และแผนงานระยะยาวขององค์กรและผลการปฏิบัติงานขององค์กร มาวิเคราะห์
บุคลากรในหน่วยงานสารสนเทศ
  1. หัวหน้าพนักงานสารสนเทศ ทำหน้าที่ดูแลเกี่ยวกับการบริหารระบบสารสนเทศธุรกิจ
  2. นักวิเคราะห์และออกแบบระบบ ทำหน้าที่วิเคราะห์และออกแบบระบบงาน
  3. ผู้เขียนชุดคำสั่ง ทำหน้าที่ดูแล ทำหน้าที่เขียนชุดคำสั่งเพื่อควบคุมและสั่งงาน
  4. ผู้ควบคุมเครื่องคอมพิวเตอร์ ควบคุมการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์
  5. ผู้จัดตารางเวลา จัดตารางเวลาการใช้คอมพิวเตอร์
  6. พนักงานจัดเก็บและรักษา เก็บรักษาและจัดทำรายการของอุปกรณ์
  7. พนักงานจัดเตรียมข้อมูล ทำหน้าที่ในการทำงานจัดเอกสารเบื้องต้นมาจัดอยู่ในรูปแบบที่เครื่องทำความเข้าใจได้
ประโยชน์ของระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ
  1. ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงสารสนเทศที่ต้องการได้อย่างรวดเร็วและทันต่อเหตุการณ์
  2. ช่วยผู้ใช้งานในการกำหนดเป้าหมายกลยุทธ์และวางแผนปฏิบัติการ
  3. ช่วยผู้ใช้ในการตรวจสอบผลการดำเนินงาน
  4. ช่วยผู้ใช้ในการศึกษาและวิเคราะห์สาเหตุของปัญหา
  5. ช่วยให้ผู้ใช้สามารถวิเคราะห์ปัญหาหรืออุปสรรคที่เกิดขึ้นเพื่อหาวิธีควบคุม
  6. ช่วยลดการใช้จ่าย
The relationship of Information System


ความสัมพันธ์ของระบบสารสนเทศ
ความสัมพันธ์ของระบบสารสนเทศแบบต่างๆ ในองค์การ 

TPS จะเป็นแหล่งข้อมูลพื้นฐานให้กับระบบสารสนเทศอื่นๆ
EIS จะเป็นระบบที่รับข้อมูลจากระบบสารสนเทศในระดับที่ต่ำกว่า นอกจากนี้ ในระบบสารสนเทศแต่ละประเภทอาจมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลภายในระบบย่อยๆ กันเอง เช่น ระบบสารสนเทศฝ่ายขายกับระบบสารสนเทศฝ่ายผลิต และระบบสารสนเทศฝ่ายจัดส่งสินค้า เป็นต้น  ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์การสร้างความแตกต่างของสินค้าหรือบริการ (Product Differentiation) เช่น การที่ธนาคารไทยพาณิชย์เสนอการทำบัตรนักศึกษาควบกับบัตรเอทีเอ็ม (Automatic Teller Machine, ATM) หรือ การบริษัทโมเดลคอมพิวเตอร์ (Dell Computer) เปิดโอกาสให้ลูกค้าสั่งเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วยตัวเองทางออนไลน์ โดยลูกค้าสามารถเลือกความสามารถของเครื่องและอุปกรณ์ต่างๆ ได้ตามต้องการ เป็นต้น
MIS จะเน้นการตัดสินใจแบบมีโครงสร้าง (แนวทาง – ตรรกะที่แน่นอน) และใช้ข้อมูลภายในจากระบบ TPS เป็นหลัก จุดมุ่งหมายเพื่อบริหารจัดการ (Supervise) งานของหน่วยปฏิบัติการ ให้บรรลุเป้าหมาย ตามแผนงานที่กำหนดมาโดยผู้บริหารระดับกลาง ภายใต้งบประมาณ เวลาและข้อจำกัดอื่นๆ ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เช่น Production Control, Sales forecasts, financial analysis, และ human resource management เป็นต้น
DSS  เน้นการตัดสินใจแบบกึ่งโครงสร้าง (Semi structured decision making) มีการใช้ข้อมูลข่าวสารจากระบบ MIS และข้อมูลจากภายนอกบางส่วนมาช่วยในการปรับปรุง หรือ กำหนดแผนงานที่จะต้องสนองเป้าหมายหลักขององค์กรให้มากที่สุด เช่น ระบบ Data miming เป็นต้น
EIS  เน้นการตัดสินใจแบบไร้โครงสร้าง (Unstructured decision making) จุดมุ่งหมายของระบบ EIS คือ ช่วยให้ผู้บริหารมองเห็นแนวทาง ความเป็นไปที่เป็นมา และกำลังจะมีแนวโน้มไปทางใด เพื่อให้สามารถกำหนดนโยบาย เป้าหมาย หลักๆ ขององค์กรให้สามารถธำรงองค์กรไว้ได้ แข่งขันกับคู่แข่งขันได้อย่างดี ตัวอย่างเช่นระบบ วางแผนกลยุทธ์ Strategic planning เป็นต้น จะเป็นมาตรการสิ่งที่ได้จากการตัดสินใจของผู้บริหารชั้นสูงที่ใช้สั่งการไปสู่ผู้บริหารระดับกลาง เพื่อปรับแผนงานและกระทบถึงผู้บริหารระดับต้น เพื่อปฏิบัติตามแผนงาน ใหม่ต่อไป